กรมชลประทาน เร่งปิดจุดทำนบดินบริเวณด้านข้างอาคารระบายน้ำล้นของอ่างเก็บน้ำห้วยเชียงคำ จ.มหาสารคาม หลังมีฝนตกหนัก ส่งผลให้ปริมาณน้ำกัดเซาะทำนบดิน ได้รับความเสียหาย ทำให้ปริมาณน้ำได้ไหลทะลักไปยังพื้นที่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำ
สำหรับอ่างเก็บน้ำห้วยเชียงคำ ต.โนนราษี อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เริ่มก่อสร้างปี พ.ศ.2496 แล้วเสร็จปี 2499 ได้ใช้งานมาประมาณ 68 ปี ตัวเขื่อนสูง 8 เมตร ยาว 1,060 เมตร ความจุ 5.07 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเฉลี่ย 24.2 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี (เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ กับความจุเก็บกักเท่ากับ 24.2 / 5.07 จะเห็นได้ว่าปริมาณน้ำไหลลงอ่างมากกว่าความจุเก็บกักถึง 4.77 เท่า ทำให้เขื่อนมีความเสี่ยงที่น้ำจะไหลล้นข้ามสันเขื่อน หากมีฝนมามากผิดปกติ) โดยมีอาคารระบายน้ำล้น (Spillway) สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 24.2 ลบ.ม.ต่อวินาที
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัยให้แก่ตัวเขื่อนที่ใช้งานมานาน กรมชลประทานจึงได้ออกแบบปรับปรุงอาคารระบายน้ำล้นจากเดิมที่ระบายได้ 24.2 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือ 2.09 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็นระบายได้ 54.00 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือ 4.06 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน โดยได้รับงบประมาณมาดำเนินการในปี 2567 ซึ่งระหว่างดำเนินการ ได้เกิดเหตุการณ์ ดังนี้
1. วันที่ 15 ก.ค.67 มีปริมาณน้ำในอ่างฯประมาณ 2.727 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 53.83% เนื่องจากฝนตกในพื้นที่วัดได้ 145.50 มิลลิเมตร (มม.) มีน้ำไหลลงอ่างฯประมาณ 3.063 ล้าน ลบ.ม. ทำให้มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกว่า 5.79 ล้าน ลบ. หรือคิดเป็น 114.29 % ของความจุอ่างฯ
2. ระดับน้ำในอ่างฯ ได้เอ่อล้นทำนบดินชั่วคราวไหลลงช่องอาคารระบายน้ำล้นเกิดการกัดเซาะอาคารและทำนบดิน เสียหายขาดเป็นความยาวประมาณ 50 เมตร
3. พื้นที่ได้รับผลกระทบด้านท้ายประมาณ 3,000 ไร่
4. โครงการชลประทานมหาสารคาม ได้ดำเนินการใช้เครื่องจักร เครื่องมือ ระดมวัสดุหินใหญ่ปิดกั้นน้ำทั้งสองฝั่งของทำนบดินไม่ให้พังเสียหายขยายเพิ่ม
5. สถานการณ์ปัจจุบันระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าระดับกัดเซาะ ซึ่งเป็นระดับที่สามารถเข้าดำเนินการปิดทำนบดินที่ขาดได้ โดยจะดำเนินการทำผนังกั้นน้ำกึ่งถาวร และเว้นช่วงให้น้ำไหลผ่านได้ เมื่อใกล้หมดฤดูฝนจะปิดทำนบแบบถาวร เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งต่อไป
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาเร่งด่วน นั้น ได้นำเครื่องจักรเครื่องมือลงพื้นที่ เข้าไปกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำลงลำน้ำเสียวใหญ่เป็นการลดผลกระทบจากน้ำไหลลงสู่พื้นที่ของประชาชนรวดเร็ว คาดว่าสามารถระบายน้ำได้ภายใน 5 วัน จะกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งกรมชลประทานจะติดตามและควบคุมสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ